วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เตือนภัยอันตรายจากแปรงสีฟันเก่า บ่อเกิดโรคร้ายคาดไม่ถึง

ผู้เชี่ยวชาญเตือนแทนที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่แปรงสีฟันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด

ในหนังสือเล่มใหม่ ‘เหตุใดแปรงสีฟันจึงอาจฆ่าคุณได้?' เจมส์ ซอง นักเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ระบุว่าแปรงสีฟันที่ใช้งานนานเกินไป ถือเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายในครัวเรือน และว่าปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง อาจเกี่ยวพันกับแปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัย

ตามทฤษฎีของซองนั้น ดูเหมือนแบคทีเรียจำนวนมากจะซุกซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน และแบคทีเรียเหล่านี้เดินทางเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้โดยตรงผ่านรอยแผล เล็กๆ ที่เหงือก แบคทีเรียเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือด

แนวคิดนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ พบว่าแปรงสีฟันทั่วๆ ไปเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรคประมาณ 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงแบคทีเรียอันตรายอย่าง staphylococci, streptococcus, E. coli และ candida

ขณะเดียวกัน สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษ (บีดีเอ) สำทับว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้นหากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น

ดร. ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ขานรับว่ามีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน นอกจากนั้น แปรงสีฟันเปียกชื้นยังเป็นแหล่งกบดานสมบูรณ์แบบของแบคทีเรียร้ายหลายชนิด

“เกือบจะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากที่แปรงสีฟันถือเป็นวัตถุอันตราย ในบ้าน เราไม่ควรทิ้งแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำแล้วใช้แล้วใช้อีกโดยไม่ล้างให้สะอาด เสียก่อน” ไอดริสเสริม

นอกจากนั้น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกัน

ความเสี่ยงที่แบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดถูกตอกย้ำจากงาน วิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อแบคทีเรีย porphy-romonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์ ปรากฏอยู่ในเส้นเลือดที่อุดตันรุนแรง

การศึกษาของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าแบคทีเรียในช่องปากของอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ ไปปรากฏอยู่ในหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกัน แบคทีเรียนี้ยังเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด และการที่ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ

ไอดริสเสริมว่า การสะสมของแบคทีเรียร้ายในระบบเลือด อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเขาเชื่อว่า ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจต้องฆ่าเชื้อแปรงสีฟันกันเป็นประจำ หรือใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง

ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น ขอคำแนะนำเรื่องการแปรงฟันจากทันตแพทย์ งดใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง เนื่องจากจะทำให้เหงือกเป็นแผล และกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และหาปลอกใส่แปรงสีฟันหากต้องเก็บไว้ในห้องน้ำ เป็นต้น


แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

เตือนภัย! ช็อคโกแลต ระวังของปลอม

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย. กล่าวว่า หลัง จากได้รับการร้องเรียนว่า มีขนมปังเคลือบช็อกโกแลต รูปทรงไข่ ห่อกระดาษสีทอง ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งผลิตในต่างประเทศ มีปัญหาการปนเปื้อนและไม่ได้มาตรฐาน ได้สอบถามไปยังผู้ผลิตสินค้าและผู้นำเข้าในประเทศไทย พบว่า สินค้าของผู้ผลิต เป็น สินค้าคุณภาพและได้มาตรฐาน แต่มีสินค้าเลียนแบบออกมาวางจำหน่ายแข่ง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกัน แต่ส่วนผสมต่ำกว่า ไม่ได้มาตรฐาน โดยพบว่าในไทยก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน โดยเฉพาะตามแนวด่านการค้าชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงขอเตือนไปยังผู้บริโภค ก่อนซื้อสินค้าต้องตรวจสอบให้ชัดเจน และเลือกซื้อจากร้านค้ามาตรฐาน ไม่ซื้อสินค้าหนีภาษี หรือลักลอบนำเข้า เพราะแหล่งที่มาไม่ชัดเจน และบางร้านก็กักตุนสินค้า หรือจำหน่ายไม่หมด ทำให้เกิดการเน่าเสีย หรือขี้นรา ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และก่อนรับประทานช็อกโกแลตทุกครั้ง ให้ตรวจดูวันหมดอายุ และสีสันของขนม แกะห่อดูภายในตัวสินค้า หากมีกลิ่น หรือมีราขาว อย่ารับประทาน

เลขาธิการ อย. กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง ที่มีปัญหาในสหรัฐฯ ที่มีการโฆษณาเกินจริง เนื่องจากมีการตีพิมพ์ อวดสรรพคุณว่า มีการผสมวิตามีนในเครื่องดื่ม ซึ่ง อย.ของสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันในข้อกฏหมายและหาทางดำเนินคดี แต่ในประเทศไทยไม่มีการนำเข้าเครื่องดื่มดังกล่าว แต่เพื่อความไม่ประมาท ให้คณะอนุกรรมการควบคุมอาหาร ตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการโฆษณาเกินความเป็นจริง มีการดำเนินคดีมาต่อเนื่อง

เตือนภัย ขึ้นภู-ดูหมอก!ระวัง 4 โรคร้าย

คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดิน ทาง โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกคำเตือนว่า ช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงมกราคม เป็นช่วงที่มีอากาศหนาวจัด นักท่องเที่ยวมักนิยมเดินทางไปตั้งแคมป์บริเวณยอดดอยหรือยอดภูเพื่อชม ทัศนียภาพ เช่น แม่คะนิ้ง และทะเลหมอก แต่หลังกลับจากการท่องเที่ยวมักจะพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด ปอดบวม โรคหัด โรคภูมิแพ้อากาศ และโรคหอบหืดเป็นจำนวนมาก

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้ เจ็บต่างๆ แก่นักท่องเที่ยวเกิดจากเชื้อไวรัสที่เจริญเติบโตและแพร่เชื้อได้ดีในสภาพ อากาศแห้งชื้น ซึ่งอากาศหนาวยิ่งส่งผลให้ความต้านทานโรคลดลง เนื่องจากร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน ดังนั้นก่อนการเดินทางควรดูแลร่างกายโดยออกกำลังอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที และควรเตรียมเสื้อกันหนาว ถุงมือ และผ้าห่มติดกระเป๋าไปด้วย เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่

นอกจากนี้ควรดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และอาบน้ำเร็วกว่าปกติเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศเย็น เพราะน้ำเย็นมากอาจกระตุ้นทำให้เกิดไข้หวัดได้ง่าย ซึ่งพบผู้ป่วยมากในฤดูหนาว เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และโรคนี้ติดต่อได้ง่ายโดยการหายใจ ไอ หรือจามรดกัน อาการเด่นคือมีไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว น้ำมูกไหล ไอ จาม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร การป้องกันควรหลีกเลี่ยงอยู่ในที่แออัดรวมกับผู้ป่วย และการรักษาควรพักผ่อนมากๆ รับประทานยาตามอาการ
"ปอดบวม" ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อปอด หลอดลม และถุงลม ทำให้มีของเหลวเกิดขึ้นในถุงลม โรคนี้ส่วนใหญ่เป็นโรคแทรกซ้อนและเกิดหลังจากไข้หวัดประมาณ 2-3 วัน อาการเด่นมีอาการไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูงและหายใจหอบ

"โรคหัด" เป็นโรคที่แพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว มักพบมากในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส พบมากในน้ำลายของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกัน มีอาการระยะแรกคล้ายหวัด มีไข้สูงตลอดเวลา กินยาไข้ก็ไม่ลด และถ่ายเหลวบ่อยครั้งเหมือนท้องเดิน ผู้ป่วยเด็กอาจชักได้เมื่อไข้ขึ้นสูง

"โรคภูมิแพ้อากาศ" พบในฤดูหนาวมากกว่าฤดูอื่น เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ อาการเด่นชัดคือคันจมูก คันตา น้ำมูกใส จามบ่อย แน่นจมูกตอนเช้า หากไม่อยากให้โรคภูมิแพ้อากาศมารบกวนก่อนเตรียมตัวจัดกระเป๋าควรนำเสื้อกัน หนาวและที่นอนมาทำความสะอาดก่อนน้ำกลับมาใช้ใหม่ และที่สำคัญควรพักผ่อนให้พอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

"โรคหอบหืด" เหตุ คือมลภาวะในอากาศหน้าหนาวจะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะหมอกและควันพิษจะไม่ลอยสูง ขึ้นไปตามลม ทำให้เราหายใจนำมลพิษเข้าไปในปอด มลพิษเหล่านี้อาจเป็นสารกระตุ้นให้เกิดโรคหอบหืดได้ง่าย ดังนั้นหากไปเที่ยวในสภาพพื้นที่ที่มีคอากาศหนาวควรเตรียมหน้ากากอนามัยไว้ สวมด้วยเพื่อเป็นการป้องกัน

หากนักท่องเที่ยวสงสัยว่าเป็นโรคดัง กล่าว หรือมีอาการไม่สบายหลังจากการเดินทางท่องเที่ยวควรไปพบแพทย์ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง ในวันและเวลาราชการ โทรศัพท์ 0-2354-9100 ต่อ 1405 และนอกเวลาราชการ ต่อ 1410 หรือเว็บไซต์ http://www.thaitravelclinic.com .

เตือน"พริกน้ำปลา"ภัยเค็มสะสม

อรพินท์ บรรจง จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการลงพื้นที่ในการทำโครงการพัฒนาตำรับอาหารท้องถิ่นสำหรับผู้สูง อายุ ที่ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี และ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม สนับสนุนโดยสำนัก งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. พบว่าทางกลุ่มผู้นำชุมชนวางถ้วยพริกน้ำปลาไว้บนโต๊ะให้ผู้สูงอายุ แต่พริกน้ำปลานั้นไม่ได้จัดให้อยู่ในชุดอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ดังกล่าว และอาจเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุโดยไม่รู้ตัว

นางอรพินท์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกให้รั บประทานอาหารที่มีโซเดียมได้ไม่เกินวัน 1 ,400 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารไทยส่วนมากจะมีรสจัด โซเดียมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดมาก โซเดียมที่ใกล้ตัวมากที่สุดและคนมักมองข้าม คือ พริกน้ำปลา แทบ จะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทย เพราะจะเห็นว่าคนที่จะรับประทานอาหารมักจะคลุกเคล้าข้าวกับพริกน้ำปลา และเติมพริกน้ำปลาในอาหาร นอกจากนี้แล้วก่อนที่จะกินก๋วยเตี๋ยวก็มักจะเติมน้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มสายชู ลงในไปชามก๋วย เตี๋ยวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ชิมก่อนการปรุงเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า ขอให้ได้ใส่ให้ได้ปรุง รสชาติเป็นอย่างไรค่อยแก้ทีหลัง

การ รับประทานอาหารรสเค็มมากๆ และบ่อยๆ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหัวใจ และไตวาย รวมทั้งโรคกระดูกพรุน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคจะต้องระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะไม่ เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคที่เป็นอยู่ เพราะโรคดังกล่าวนี้เหมือนกับภัยเงียบที่ไม่บ่งบอกอาการให้ผู้ป่วยได้รู้ คนที่เป็นก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร แต่เมื่อเป็นความดันสูงอยู่เรื่อยๆ เมื่ออายุสูงขึ้น ความยืดหยุ่นเส้นเลือดน้อยลง เส้นเลือดแข็งก็จะเปราะบาง เมื่อมีความดันสูงเรื่อยๆ ไม่สามารถคุมได้แล้วเกิดเส้นเลือดแตกตามจุดสำคัญต่างๆ แล้ว ก็จะทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ กลายเป็นคนพิการ และเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

"คนวัยหนุ่มสาวที่ยังแข็งแรงก็ต้องระมัดระวังและควบคุมการรับประทานอาหารรส เค็มเช่นกัน เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้เกิดการสะสมโซเดียมไว้ในร่างกายจนมากเกินไป ควรเลือกใช้เกลือหรือน้ำปลาสโลว์โซเดียมที่มีจำหน่ายตามร้านค้าต่างๆ มาปรุงรสเค็มให้อาหารแทนน้ำปลาทั่วๆ ไป น้ำปลาโลว์โซเดียมนี้จะเป็นโซเดียมที่ได้จากพืชจากผลไม้และมีปริมาณน้อยไม่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือจะงดคลุกข้าวกับพริกน้ำปลาแล้วใช้ความเค็มจากอาหารที่รับประทานควบคู่ กันก็เป็นเรื่องใกล้ตัวที่จะลดโซเดียมได้ง่ายที่สุดอีกวิธีหนึ่ง" นักโภชนาการกล่าว